บทที่ 2076
แม้จะอยู่ในความมืดมิดมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ในความเป็นจริงเขาอยู่ในนี้มาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ก่อนที่เฟนด์จะถูกความมืดกลืนกินมาเช่นนี้ ในตอนนั้นดวงอาทิตย์ยังลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า และหุบเหวที่เขาอยู่ก็สว่างไสวราวกับกลางวัน เขาเดาว่าตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาเที่ยงวัน
แต่ในตอนที่เขาเข้ามาในมิตินี้กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินไปเสียแล้ว
ราวกับว่าเวลาหลายชั่วโมงผ่านไปในพริบตา เฟนด์ลูบหัวไหล่ที่เจ็บและพยายามยืนขึ้นจากพื้น จากนั้นก็พินิจมองสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ มีภูเขาตระหง่านอยู่ข้างหลังเขาและมีทางหินที่ราบเรียบอยู่ข้างหน้าเขา ทิวเขาปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
เขาน่าจะกำลังอยู่ที่บริเวณสันเขา ข้างหน้าเขามีกระแสน้ำที่ไหลจากตะวันตกไปตะวันออกอีกด้วย
"ที่นี่ที่ไหนกัน?"
เฟนด์ก้มมองเท้าในขณะจ้องมองไปยังภูเขาที่อยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งที่เขาเห็นในขณะนั้นคือยอดเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหมอก
“นั่นใช่ผาโทมนัสหรือเปล่า?”
เฟนด์ไม่มั่นใจนะ เขารู้ว่าเขาตกลงไปในผนึกเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์ หลังจากกระโดดลงมาจากผาโทมนัส และในที่สุดเขาก็สามารถหลบหนีออกมาจากทางศูนย์กลางของเวทย์ค่ายกลนี้ได้
แต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่ที่ไหน
เฟนด์เดินถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างอยากรู้อยากเห็นก่อนที่จะได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมและเฟนด์ก็กระเด็นถอยหลังไปสองสามก้าว พื้นที่ด้านหน้าของเขาโปร่งใส แต่ดูเหมือนจะมีสนามพลังอยู่ในบริเวณนี้ด้วย เขารู้ได้ในทันทีเลยว่าแม้พื้นที่โปร่งแสงด้านหลังเขาจะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันก็เป็นหนึ่งในผนึกเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์ แต่พื้นที่ดังกล่าวถูกปิดบังเอาไว้ด้วยภาพลวงตาและดูเหมือนว่าในนั้นไม่มีอะไรซ่อนอยู่ ไม่มีใครสามารถก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปได้และไม่อาจช่วยเหลือผู้คนที่อยู่ไกลออกไปได้ด้วย
ยังไม่ได้พูดถึงว่าเฟนด์พาตัวเองออกมาจากผนึกเวทย์ค่ายกลได้แล้ว และสภาพแวดล้อมโดยรอบของเขาก็ค่อนข้างที่จะปลอดภัย เขายังนึกผิดหวังกับตัวเองอยู่ในหน่อยที่เขาทิ้งพ่อไว้เบื้องหลัง แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่เสียใจเลยหลังจากได้รู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่อันตรายเพียงใด
แต่เฟนด์คงเป็นคนที่เลือดเย็นหากเขาเพิกเฉยต่ออีกสามคนที่เหลืออย่างเจด ดไวท์และอัลเบี้ยนซึ่งยังคงติดอยู่ในเวทค่ายกลอย่างเดิม
เฟนด์เองก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะออกจากมิตินี้ไปได้หรือเปล่า
เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวก่อนที่จะได้ยินเสียงบางอย่างมาจากใต้ฝ่าเท้าของเขา ฟังดูเหมือนเขาเหยียบกิ่งไม้หรือไม่ก็ใบไม้ที่ร่วงหล่น เฟนด์ก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัวและตระหนักว่าเขากำลังเหยียบโครงกระดูกอีกโครงเข้าให้แล้ว
เฟนด์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ก่อนที่จะก้าวถอยหลังแล้วก้มลงพินิจกระดูกอย่างละเอียดถี่ถ้วน โครงกระดูกนั้นสวมอาภรณ์สีเขียว และเมื่อดูจากสภาพเสื้อผ้าอาภรณ์แล้ว บุคคลผู้นี้คงเสียชีวิตมานานแล้วด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น พื้นที่นี้อยู่ทางด้านนอกของเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์จึงเป็นการพิสูจน์โดยนัยว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเท แต่น่าแปลกที่อาภรณ์สีเขียวบนโครงกระดูกนี้ดูแตกต่างจากอาภรณ์ที่โครงกระดูกอื่น ๆ สวมใส่ไว้ก่อนตาย เวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์เสื้อผ้าสีเขียวควรจะย่อยสลายไปตามกาลเวลา เนื่องจากมันต้องตากแดดตากลมมาเป็นเวลานาน แต่เสื้อผ้าบนโครงกระดูกนี้กลับแตกต่างจากเสื้อผ้าบนโครงกระดูกอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง
อาภรณ์ดังกล่าวยังคงดูสดใสราวกับเพิ่งใส่เมื่อวาน
เฟนด์ยื่นมือออกไปสัมผัสเข้าที่ชายเสื้อ ก่อนจะลูบผ้าและสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ดังกล่าวมีคุณภาพดี ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อตัวนอกก็ยังทำมาจากวัสดุที่มีมูลค่ามากทีเดียวเนื่องจากมีอักษรรูนจำนวนมากที่เฟนด์ไม่เข้าใจถูกสลักลงไปในนั้น มันอาจจะเป็นเวทมนตร์วิเศษที่ป้องกันเสื้อผ้าไม่ให้ถูกไฟและน้ำทำลาย อาภรณ์ดังกล่าวอาจช่วยต้านทานการโจมตีบางชนิดได้
เหตุผลที่เฟนด์นั่งยอง ๆ เพื่อศึกษากระดูกอย่างละเอียดไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าที่เจ้าของร่างสวมใส่ แต่เป็นกระดูกของพวกเขาต่างหาก กระดูกเหล่านี้ดูคล้ายว่าจะแตกต่างจากที่โครงกระดูกที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้ พวกมันถูกปกคลุมไปด้วยผนึกเวทย์สีแดงน่าหลงใหล ยิ่งไปกว่านั้นเฟนด์ระบุได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกตรึงสลักเอาไว้บนกระดูกหลังจากที่พวกเขาจากไป หากแต่พวกมันปรากฏขึ้นขึ้นมาเอง!
แน่นอนว่าปุถุชชนคนทั่วไปย่อมไม่อาจจะได้ประสบกับเรื่องเช่นนี้ ในความทรงจำที่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทิ้งไว้ให้เฟนด์ก็มีสิ่งที่คล้ายกันนี้กล่าวถึงไว้ด้วยเช่นกัน ปรมาจารย์บางคนที่ฝึกฝนทักษะพิเศษจะมีอักษรรูนสลักอยู่บนกระดูกของพวกเขาเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเพิ่มพลังโจมตีของทักษะยุทธของพวกเขาได้ และยังช่วยเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะยุทธอีกด้วย