บทที่ 2100
เจดเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระไม่เลิก แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่เฟนด์พูดอะไรผิด เขาจะถากถางด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เฟนด์ไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมให้คนอื่นรังแกเขา ไหนจะความจริงที่ว่าเขาต้องอดทนกับเจดมาเป็นเวลานานก็มากพอแล้ว
เจดมองไปที่ใบหน้าเย็นชาของเฟนด์ แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูสงบและไม่มีความโกรธบนใบหน้า แต่เขาก็รู้ว่าถ้าเขาไม่ทำตามคำสั่งของเฟนด์ ชายหนุ่มจะทิ้งเขาไว้ที่นั่นโดยไม่ลังเล
อัลเบี้ยนต้องการพูดบางอย่างเพื่อทำให้บรรยากาศสงบลง แต่ถูกดไวท์ปรามไว้ก่อน ดไวท์ฉลาดกว่าเจดอย่างเห็นได้ชัด เขารู้ว่าถ้าเฟนด์ไม่แก้แค้นเจดตอนนี้ นานวันเข้าทุกอย่างจะยิ่งลุกลามไปมากกว่าเดิม
“ทำไมนายถึงคิดว่าฉันไม่พอใจ?” เจดถามหน้าแดงด้วยความอัปยศอดสู
“คิดถึงสิ่งที่คุณเคยพูดกับฉันก่อนหน้านี้สิ ก็อย่างที่ฉันบอก มันขึ้นอยู่กับคุณว่าอยากจะทำตามที่ฉันบอกหรืออยากถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวที่นี่” เฟนด์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเขาก็เรียกหาแนชราวกับว่าพร้อมที่จะออกไปแล้ว ไม่เห็นเช่นนั้นก็ทำให้เจดตื่นตระหนก "ฉันจะทำ! ฉันจะฝังศพพวกเขาเอง!”
เขาเริ่มจัดการกับศพบนพื้นทันทีและทำความสะอาดสถานที่ให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยไม่ทิ้งร่องรอยของการต่อสู้ที่ดุเดือดก่อนหน้านี้เอาไว้ หลังจากจัดการทั้งหมด เขาจึงปาดเหงื่อจากหน้าผาก และแม้ว่าใบหน้าของเขาจะดูไม่สบอารมณ์อยู่นิดหน่อย แต่เขาก็ยังไม่กล้าพูดอะไร
เฟนด์พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขามัดมือของดัดลีย์และเดเมียนไว้จนแน่นและผนึกเส้นลมปราณพวกเขาด้วยพลังที่แท้จริง ในที่สุดคนกลุ่มนั้นก็เดินทางออกจากสถานที่ ด้วยคำแนะนำของดัดลีย์ พวกเขาพบทางที่สั้นที่สุดในการออกจากป่า
แม้ว่าจะได้ลิ้มรสชัยชนะแต่พวกเขายังคงระวังตัวอยู่เสมอ ดไวท์เดินนำหน้า ทักษะการรับรู้ของเขาตื่นตัวเป็นอย่างมาก พวกเขาเดินไปอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศิษย์หนึ่งหรือสองคนของสำนักวายชนม์อีก แต่การมีเฟนด์อยู่ที่นั่นทำให้พวกเขาไม่ได้กลัวอะไรเท่าไหร่นะ
ถึงกระนั้น ดัดลีย์ก็ได้บอกพวกเขาว่าบนภูเขานั้นไม่เพียงแต่มีเหล่าศิษย์ของสำนักที่มีอำนาจเท่านั้น แต่ยังมีผู้อาวุโสและผู้ดูแลอีกหลายคนประจำการอยู่บนภูเขาด้วย พวกเขากลัวที่จะดึงดูดความสนใจของคนเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ทำทุกย่างก้าวอย่างระมัดระวัง และหลังจากผ่านไปสี่ชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเขตชายป่า
เมื่อยืนเขย่งเท้ามองออกไป พวกเขายังคงเห็นควันจากบ่อน้ำพุร้อนจากนอกเมือง ค่ายกลเป็นเหมือนเกราะป้องกันที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และภูเขาทั้งลูกก็ถูกขังอยู่ข้างใน
พวกเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ในที่สุดก็มาถึงเขตชายป่า ไม่กี่วันที่ผ่านมาเต็มไปเมฆหมอกแห่งความกระวนกระวายใจ ราวกับมีโซ่ตรวนคล้องที่คอของพวกเขา ทำให้พวกเขาหายใจไม่คล่องคอ
“ในที่สุดเราก็ออกจากที่นี่ได้แล้ว!” เจดกล่าวยังไม่สบอารมณ์
ในตอนที่เขาคิดจะเอ่ยปากเพิ่มอีกสองสามคำ ก็มีการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันขึ้นจากระยะไกล ราวกับว่ามีบางอย่างไถลไปกับพื้นหญ้า และความตึงเครียดที่พึ่งคลายลงก็กลับมาเป็นเช่นเดิมอีกครั้ง
หลายคนชำเลืองมองซึ่งกันและกัน และทันใดนั้นก็มองไปยังทิศทางของเสียง ต้นยูคาลิปตัสหนาทึบ ลำต้นกว้างสิบช่วงแขน เฟนด์ขมวดคิ้วและตะโกนว่า “ใครอยู่ตรงนั้น?”
ไม่มีใครตำหนิเขาที่ทำตัวราวกับไก่ตื่น อย่างไรเสีย พวกเขาทุกคนก็ใกล้จะได้ออกจากเขตป่าแล้ว และปรารถนาเป็นอย่างยิ่งให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
อัลเบี้ยนยื่นมือออกไปและตบไหล่เฟนด์ "ใจเย็น ๆ มันอาจเป็นแค่สัตว์ตัวเล็ก ๆ ในป่าแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องมีสัตว์อสูรชุกชุม อาจเป็นเพียงสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่หลงมาอยู่บริเวณชายป่าก็เป็นได้”
เฟนด์ชำเลืองมองไปยังอัลเบี้ยน หวังว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริง ทันใดนั้นก็มีเสียงคนแก่ดังมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ “พวกเธอล้วนเป็นศิษย์จากสำนักสหัสบรรณและตำหนักสองกษัตริย์ใช่หรือไม่?”
(เปลี่ยนจากตำแหน่ง ศิษย์อาวุโสเป็นผู้อาวุโส)